ข้อมูลพระวัติ หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน

?พระครูสุวรรณศีลาธิคุณ? หรือ ?หลวงพ่อพูน ฐิตสีโล? ท่านมีนามเดิมว่า ทองพูน สัญญะโสภี เกิดเมื่อวันพุธที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ตรงกับ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีวอก ณ บ้านสามกอ หมู่ ๑ ตำบลสามกอ อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นบุตรของนายแบน และนางสมบุญ สัญญะโสภี

ในวัยเยาว์ หลวงพ่อพูนก็มีชีวิตเฉกเช่นเด็กทั่วไปในละแวกเดียวกัน ท่านได้ศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ที่โรงเรียนศรีรัตนานุกูล หรือ โรงเรียนวัดบ้านแพน ?ศรีรัตนานุกูล? และจบการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ หลังจากนั้นท่านจึงได้ช่วยพ่อแม่ประกอบอาชีพ ทำงานต่างๆ เป็นผู้มีความขยันขันแข็งและอดทน

แต่ด้วยความใฝ่รู้ใฝ่เรียน ทำให้ท่านได้ติดตามหลวงปู่คำปัน ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่ธุดงค์มาจากจังหวัดลำพูน ขึ้นไปทางภาคเหนือ ซึ่งในขณะนั้น หลวงพ่อพูนมีอายุเพียง ๑๔ ปี ท่านได้ติดตามหลวงปู่คำปัน อยู่เป็นเวลา ๑ ปี ในระหว่างนั้นท่านได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนวิชาโหราศาสตร์ จนถึงเวลาอันสมควร ท่านจึงกลับมาบ้านเกิดของท่านเอง ซึ่งในเวลานั้นหลวงพ่อพูนมีอายุเพียง ๑๕ ปีเท่านั้นเอง แต่ความรู้ความสามารถในวิชาโหราศาสตร์ที่ได้ร่ำเรียนมา มีความแม่นยำและไม่เป็นรองใคร

ด้วยบุญบารมีของหลวงพ่อพูน ที่จะมาในทางธรรม ท่านจึงได้รับการชักชวนจากหลวงพ่อวาสน์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านแพนในขณะนั้น เพื่อบรรพชาเป็นสามเณร ทำให้หลวงพ่อพูน ได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๔๙๒ โดยมี พระปลัดแจ่ม วัดโพธิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ในเวลาต่อมาปีเดียวกัน

สามเณรทองพูน ได้ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยเป็นอย่างดีในช่วงระยะเวลา ๓ ปี จนเมื่อถึงอายุ ๒๐ ปี ในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ ปีมะโรง จึงเข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีพระครูปริยัติคุณูปการณ์ หรือหลวงพ่อวาสน์ วัดบ้านแพน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูเกษมคณาภิบาล หรือ หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูวิบูลย์ธรรมศาสน์ หรือ หลวงพ่อสังวาล วัดกระโดงทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาในทางธรรมว่า ?ฐิตสีโล? ในเวลาต่อมาหลวงพ่อพูนได้ศึกษาเล่าเรียนในทางธรรมเป็นอย่างดี ทำให้ ภายในระยะเวลา ๒ ปี หลวงพ่อพูนสามารถสอบได้นักธรรมชั้นโทและชั้นเอกตามลำดับ

นอกจากการศึกษาทางธรรมแล้ว หลวงพ่อพูนท่านยังมีความสนใจใฝ่รู้ในการศึกษาพุทธาคม ซึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อท่านได้อายุ ๑๔ ปี ก็ได้ติดตามหลวงปู่คำปันไปที่เมืองเหนือมาแล้วและได้ร่ำเรียนวิชาต่างๆ โดยเฉพาะวิชาทางโหราศาสตร์ที่ค่อนข้างแม่นยำ แต่การศึกษาพุทธาคมยังไม่จบ เพราะท่านได้เสาะแสวงหาครูบาอาจารย์เพื่อศึกษาเพิ่มเติม จนได้เรียนกับอาจารย์ฆราวาสนามว่า ?พริ้ง? ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเวทย์อาคม ซึ่งในย่านวัดบ้านแพนนั้น ถือว่าไม่มีใครเกินฆราวาสพริ้งไปได้

 หลวงพ่อพูนได้ศึกษาวิชาการทำน้ำมนต์จากอาจารย์พริ้ง ที่มีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ ประกอบกับการปฏิบัติกรรมฐานอย่างเข้มข้น จึงทำให้ท่านมีสมาธิอันแก่กล้า และสามารถบริกรรมปลุกเสกน้ำมนต์ขึ้นมาได้อย่างมีอานุภาพ ศักดิ์สิทธิ์ถึงขนาดน้ำพระพุทธมนต์หลวงพ่อพูนนั้นสามารถขับไล่ภูตผีปีศาจได้ หรือ ไล่เสนียดจัญไรไม่ให้เข้าใกล้ได้เป็นอย่างดี

จากนั้นหลวงพ่อพูนจึงได้ศึกษาวิชาต่างๆจากอาจารย์ ลพ เกตุบุตร ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชายของหลวงพ่อวาสน์ อาจารย์ลพท่านได้ถ่ายทอดวิชาการลงยันต์ตรีนิสิงเหให้กับหลวงพ่อพูนด้วยความยินดี และหลวงพ่อพูนก็ฝึกปฏิบัติจนสามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว ในเวลาต่อมาหลวงพ่อพูนจึงได้นำยันต์นี้จารลงแผ่นยันต์อยู่เสมอ ทำให้เกิดความเข้มขลังอย่างมากในวัตถุมงคลต่างๆ

นอกจากนี้หลวงพ่อพูนท่านยังเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์เพื่อร่ำเรียนวิชาต่างๆอย่างต่อเนื่อง จากพระเกจิอาจารย์ดังหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็น หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย ที่มีความเชี่ยวชาญในสายวิชาพระคาถาชินบัญชร ของสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ซึ่งหลวงพ่อพูนก็ได้รับการถ่ายทอดวิชานี้จากหลวงพ่อมีเช่นกัน จนทำให้หลวงพ่อมีเอ่ยปากชมว่า หลวงพ่อพูนมีความแก่กล้าสามารถในวิชานี้เป็นอย่างมาก โดยวิชาต่างๆที่ท่านได้ร่ำเรียนมาจากอาจารย์ที่เป็นพระสงฆ์และอาจารย์ฆราวาส ท่านได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมและพระพุทธศาสนา เช่นการปลุกเสกวัตถุมงคล เพื่อนำปัจจัยมาสร้างเสนาสนะต่างๆภายในวัด และอื่นๆอีกมาก

หลวงพ่อพูน ท่านได้เข้าดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบ้านแพน เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๒๗ ซึ่งในขณะนั้น หลวงพ่อวาสน์ที่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่นั้นท่านได้ชราภาพมากแล้ว จึงได้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส และมอบหมายให้หลวงพ่อพูน ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสแทน จากนั้นหลวงพ่อพูนท่านก็ได้สร้างกุฏิ ๘ ห้อง ตามการมอบหมายงานของหลวงพ่อวาสน์ ขณะนั้นมีปัจจัยอยู่ ๓ แสนบาท หลวงพ่อพูนก็นึกขึ้นได้ว่า จะต้องนำวิชาการทำตะกรุดดอกไม้ทองที่ได้ร่ำเรียนมาจากหลวงพ่อสนั่น เพื่อสร้างเป็นตะกรุด เนื่องจากเชื่อว่า ปัจจัยคงไม่พอต่อการสร้างกุฎิ อีกทั้งท่านยังมีความตั้งใจในการบูรณะวัดบ้านแพนให้สมบูรณ์มากกว่านี้ เมื่อสร้างตะกรุด ก็มีญาติโยมมาเช่าบูชากันอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีปัจจัยในการสร้างกุฏิจนแล้วเสร็จ ขณะเดียวกันก็ได้สร้างกุฏิเพิ่มขึ้นอีกจำนวน ๘ ห้อง ส่วนปัจจัยที่เหลือได้นำมาสร้างเป็นเสนาสนะต่างๆภายในวัดบ้านแพน

วัตถุมงคล

วัตถุมงคล ของ หลวงพ่อพูน ถือว่ามีอยู่หลายรุ่นที่นิยมบูชา และที่ได้รับความนิยมอย่างมาก คือ ?ตะกรุดดอกไม้ทอง? หลวงพ่อพูน ท่านได้เรียนวิชานี้มาจาก หลวงพ่อสนั่น วัดเสาธงทอง ซึ่งครั้งหนึ่ง หลวงพ่อสนั่น ท่านได้รับกิจนิมนต์ให้มาเทศน์ที่ วัดบ้านแพน หลวงพ่อพูนท่านจึงได้มีโอกาสขอเรียนวิชาการทำตะกรุดด้วย คราแรกหลวงพ่อสนั่นได้ปฏิเสธ แต่เมื่อสนทนากันไปสักระยะ หลวงพ่อสนั่น จึงยอมให้ หลวงพ่อพูน ท่านร่ำเรียนวิชานี้ โดยให้ไปเรียนที่ วัดเสาธงทอง และสำเร็จวิชาการทำ ตะกรุดดอกไม้ทอง ในที่สุด หลวงพ่อพูน ท่านได้ใช้วิชานี้ในการสร้างตะกรุดดอกไม้ทองเพื่อนำปัจจัยมาสร้างกุฏิและเสนาสนะต่างๆภายในวัดบ้านแพน ซึ่งในปัจจุบันตะกรุดดอกไม้ทอง ก็ยังได้รับความนิยมอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะเกิดประสบการณ์กับผู้บูชา โดดเด่นด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ ค้าขาย ร่ำรวย สำเร็จ

สำหรับการสร้าง พระเครื่อง ของ หลวงพ่อพูน นั้นถือว่ามีอยู่หลายรุ่นหลายรูปแบบ เช่น พระสังกัจจายน์หลวงพ่อพูน อาทิ พระสังกัจจายนะมหาลาภ ปี ๒๕๓๘ ปลุกเสกพิธีดี พิธีขลัง ,พระสังกัจจายน์จัมโบ้ รุ่นแรก ที่ระลึกอายุครบ ๖ รอบหลวงพ่อพูน เมื่อปี ๒๕๔๗ เนื้อผงพุทธคุณผสมชานหมาก ด้านหน้าฝังตะกรุดเงิน ทำพิธีปลุกเสกอธิษฐานจิตตลอดไตรมาส โดยครั้งนี้ได้มีพระเกจิอาจารย์หลายรูปร่วมพิธีปลุกเสก เช่น หลวงพ่อรวยวัดตะโก หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว เป็นต้น พุทธคุณของพระสังกัจจายน์ คือ ให้ผลด้านทรัพย์สินเงินทอง เมตตามหานิยม โชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง

ส่วนเหรียญประสบการณ์ที่มากด้วยศรัทธา และเป็นที่กล่าวขานคือ เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อพูน ฐิตสีโล สร้างเมื่อปี ๒๕๓๐ โดยเหรียญรุ่นแรกนี้ มีการสร้างอยู่สามเนื้อด้วยกันคือ เนื้อเงินสร้าง ๕๖ เหรียญ เนื้อนวะกะไหล่ทองสร้าง ๓๐๐ เหรียญ เนื้อทองแดงสร้าง ๒๑๗๔ เหรียญ นับได้ว่าเป็นเหรียญที่มีประสบการณ์ด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ โภคทรัพย์ สมกับนามอันเป็นมงคลของท่าน คือ หลวงพ่อพูน

นอกจากนี้ยังมีวัตถุมงคลรุ่นอื่นๆของหลวงพ่อพูนที่น่าสะสมบูชา เนื่องจากท่านเป็นพระเกจิอาจารย์แห่งเมืองกรุงเก่าที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีเมตตาต่อญาติโยม กราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ 

หลวงพ่อพูน มรณภาพ เมื่อเวลา 08.29 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 17 ม.ค. ที่โรงพยาบาลมิชชั่น กรุงเทพมหานคร ด้วยโรคชราภาพ รวมสิริอายุ 86 ปี พรรษา 66 ทำให้ลูกศิษย์ลูกหาที่ทราบข่าว รู้สึกเสียใจในการจากไปของหลวงพ่อพูน ที่ตนเคารพศรัทธาเป็นอย่างมาก